Thursday, January 3, 2019

บล็อกของเพื่อน

vrit-blog.blogspot.com                                 chananya-blog.blogspot.com

วิชาแนะแนว


สรุปรายวิชาการแนะแนว


การแนะแนว หมายถึง กระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยให้ บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม สามารถนำตนเองได้ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ ปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม

การแนะแนวไม่ใช่การแนะนำ อาจกล่าวได้ว่าการแนะแนวเป็นการช่วยเหลือ ให้เขาสามารถช่วยตนเองได้
ความสำคัญของการแนะแนว
จุดหมายของการแนะแนว คือการป้องกันปัญหา แก้ไขพฤติกรรมทุกอย่างที่ผิดปกติและการพัฒนาให้ทุกคนไปสู่จุดหมายของชีวิตที่ต้องการ
กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของผู้เรียน ให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา และการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งครูแนะแนวทุกคนต้องทำหน้าที่แนะแนว ให้คำปรึกษาด้านชีวิต การศึกษาต่อ และการพัฒนาตนเองสู่โลกอาชีพและการมีงานทำ
กิจกรรมแนะแนว ถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด เป็นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองตามศักยภาพ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่าง
. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่าง
2. มนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงยิ่ง
3. บุคคลย่อมมีศักดิ์ศรีและศักยภาพประจำตัว
4. บุคคลแต่ละคนย่อมต้องการความช่วยเหลือ
5. บุคคลจะมีความสุขเมื่อได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ในด้านต่าง ๆ
6. พฤติกรรมทุกอย่างย่อมมีสาเหตุ
การจัดกิจกรรมแนะแนวจะต้องจัดให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การที่จะให้งานบริการแนะแนวบรรลุวัตถุประสงค์ได้นั้น จำเป็นจะต้องคำนึงถึงหลักการแนะแนวที่มีการวางแผนการดำเนินงานให้เหมาะสม ดังนั้นอาจารย์แนะแนวจึงควรยึดถือหลักการสำคัญของการจัดกิจกรรมแนะแนว เพื่อเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. การแนะแนวเป็นบริการที่ต้องจัดให้กับบุคคลทุกคนไม่ใช่เฉพาะนักศึกษาที่มีปัญหาเท่านั้น
2.การแนะแนวตั้งอยู่บนรากฐานของการยอมรับในศักดิ์ศรีและคุณค่าของแต่ละคนและยอมรับในสิทธิส่วนตัวในการตัดสินใจที่จะเลือกทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
3. การแนะแนวเป็นกระบวนการเกี่ยวกับการศึกษาที่ต้องปฏิบัติต่อเนื่องกันและเป็นไปตามลำดับขั้น
4. การแนะแนวจะต้องเกิดจากความร่วมมือไม่ใช่การบังคับ
5. การแนะแนวเน้นในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล
6. การแนะแนวเน้นในเรื่องของการเข้าใจตนเอง การตัดสินใจด้วยตนเอง และการปรับตัว ด้วยตนเอง
7. การแนะแนวเน้นในเรื่องการป้องกันปัญหามากกว่าการแก้ไขปัญหา
8. การแนะแนวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการศึกษา
9. การแนะแนวที่มีประสิทธิภาพจะต้องเกิดจากความร่วมมือ และความเต็มใจของบุคลากร ทุกฝ่ายในมหาวิทยาลัย และนักศึกษาผู้มารับบริการ
10.การแนะแนวจะต้องจัดบริการให้ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ (1) การแนะแนวการศึกษา (2) การแนะแนวอาชีพ (3) การแนะแนวส่วนตัวและสังคม
1. ประโยชน์แก่ผู้ปกครองหรือบิดามารดา
1.1 ได้รับรู้และเข้าใจสถานภาพทางการเรียนของบุตรหลานของท่าน เมื่อท่านได้มีโอกาสปรึกษาหารือกับครูแนะแนว
1.2 ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโอกาสที่บุตรหลานของท่านจะได้เรียนต่อหรือออกไปประกอบอาชีพ
1.3 รับรู้และเข้าใจสภาพปัญหาของเด็กวัยรุ่นเพื่อจะได้ให้ความร่วมมือกับโรงเรียนในการปรับปรุงพฤติกรรมของบุตรหลานของท่านต่อไป
2. ประโยชน์ต่อนักเรียน
2.1 ช่วยให้นักเรียนรู้จักตนเองดีขึ้นและสามารถปรับปรุงตนเองในด้านการเรียน สังคมอารมณ์และสติปัญญา
2.2 ช่วยให้นักเรียนตัดสินใจได้ด้วยตนเองอย่างฉลาดและมีเหตุผล
2.3 ช่วยให้นักเรียนเข้าใจสาเหตุของปัญหาและวิธีแก้ปัญหาเพื่อสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายและอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
3. ประโยชน์แก่ครู
3.1 ช่วยครูให้เข้าใจถึงปัญหาและสาเหตุของปัญหารวมทั้งหาวิธีแก้ปัญหานั้น
3.2 ช่วยครูในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของนักเรียน
3.3 ช่วยครูในการศึกษานักเรียนทำให้รู้จักนักเรียนดีขึ้น
4. ประโยชน์แก่โรงเรียน
4.1 ช่วยโรงเรียนในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของนักเรียน
4.2 ช่วยลดปัญหาต่าง ๆ เช่นปัญหานักเรียนเรียนไม่จบหลักสูตร หรือปัญหานักเรียนเรียนอ่อน หรือหนีเรียน เป็นต้น

วิชาคณิต


บทที่ 3. คู่อันดับและกราฟ


3.1 คู่อันดับและกราฟของคู่อันดับ

โดยทั่วไปมีเหตุการณ์ต่างเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆจะแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณต่างๆสองปริมาณอยู่เสมอ เช่น การเสียค่าไฟฟ้ากับระยะเวลาการใช้ไฟฟ้า ระยะทางในการเดินทางกับระยะเวลาในการเดินทาง ระยะเวลาการโทรศัพท์กับค่าโทรศัพท์ที่จ่ายไป เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้  สมศรีใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาเพื่อน โดยที่มีอัตราค่าโทรศัพท์นาทีละ 2 บาท ซึ่งเรา
สามารถแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระยะเวลาการโทรกับค่าโทรศัพท์ได้หลายแบบได้หลายรูปแบบ เช่น

  1. แสดงความสัมพันธ์ในรูปตาราง

ระยะเวลาการโทร ( นาที )
ราคาค่าโทรศัพท์ ( บาท )
1
2
2
4
3
6
4
8
5
10

  1. แสดงความสัมพันธ์ในรูปแผนภาพ
ระยะเวลาการโทร ( นาที )                                      ราคาค่าโทรศัพท์ ( บาท )
Untitled
  1. แสดงความสัมพันธ์ในรูปคู่อันดับ
คู่อันดับ  คือ การแสดงการจับคู่ระหว่างสมาชิกของกลุ่มสองกลุ่มซึ่งจะต้องมีข้อตกลงว่าสมาชิกตัวที่หนึ่งและสมาชิกตัวที่สองของคู่อันดับมาจากกลุ่มใด จากตัวอย่างนี้ กำหนดให้สมาชิกตัวแรกแสดงระยะเวลาการโทร(นาที) และสมาชิกตัวที่สองแสดงราคาค่าโทรศัพท์(บาท) ได้ดังนี้
(1,2),  (2,4),  (3,6),  (4,8),  (5,10)

หมายเหตุ       ถ้าเราสลับตำแหน่งของ (1, 2) เป็น (2, 1) ความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วย นั่นคือ
(1, 2)   หมายถึง   เมื่อใช้โทรศัพท์นาน 1 นาที จะเสียค่าโทรศัพท์ 2 บาท
(2, 1)   หมายถึง   เมื่อใช้โทรศัพท์นาน 2 นาที จะเสียค่าโทรศัพท์ 1 บาท

  1. แสดงความสัมพันธ์ในรูปการเขียนกราฟ
กราฟ คือ การแสดงความสัมพันธ์ในระบบพิกัดฉาก โดยการเขียนเส้นจำนวนในแนวนอนและแนวตั้งให้ตัดกันเป็นมุมฉาก
จุดกำเนิด  คือ จุดที่เส้นจำนวนทั้งสองตัดกัน
แกนนอน คือ เส้นจำนวนในแนวนอน  เรียกอีอย่างหนึ่งว่า แกน X
แกนตั้ง คือ เส้นจำนวนในแนวตั้ง  เรียกอีอย่างหนึ่งว่า แกน Y
แกน X และ แกน Y จะอยู่บนระนาบเดียวกัน และจะแบ่งระนาบนี้ออกเป็นสี่ส่วน แต่ละส่วนเรียกว่าจตุภาค
กราฟของคู่อันดับ  คือ จุดบนระนาบที่แทนมาจากคู่อันดับ โดยการลากเส้นตรงให้ตั้งฉากกับแกน X แล้วไปตัดกับเส้นตรงที่ลากตั้งฉากกับแกน Y โดยที่คู่อันดับคู่หนึ่งจะมีกราฟเพียงจุดเดียวบนระนาบ ซึ่งสามารถกล่าวได้อีกแบบหนึ่งว่าจุดแต่ละจุดที่อยู่บนระนาบจะแทนคู่อันดับได้เพียงคู่เดียวเท่านั้น
โดยทั่วไปคู่อันดับจะเขียนอยู่ในรูป (x, y) เมื่อ x แทนจำนวนที่อยู่บนแกน X เป็นพิกัดที่หนึ่ง และ y แทนจำนวนที่อยู่บนแกน Yเป็นพิกัดที่สองดังรูป
 Untitled

 3.2 กราฟและการนำไปใช้

เมื่อเรามีความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณของสองกลุ่ม เราสามารถที่จะแสดงความสัมพันธ์ออกมาในรูปของกราฟได้ และเมื่อเรามีกราฟแสดงความสัมพันธ์ต่างระหว่างปริมาณสองกลุ่มนั้น เราก็สามารถที่จะหาพิกัดของจุดที่อยู่บนกราฟนั้นๆได้

วิช:ภาษาไทย


  ๑.หลักการใช้ภาษาไทย ระดับชั้น ม.๑                 - การสร้างคำโดยใช้ คำมูล คำประสม คำซ้ำ คำซ้อน และคำพ้อง                                                              - วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำในประโยค                  - วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน                  - การแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑  ๒. หลักการใช้ภาษาไทย ะดับชั้น ม.                - การสร้างคำสมาส                 - ลักษณะของประโยค ( ประโยคความเดียว ประโยคความรวม ประโยคความซ้อน )                 - การแต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพ
๓. หลักการใช้ภาษาไทย ระดับชั้น ม.๓
                - จำแนกและใช้คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ 
                - โครงสร้างของประโยคซับซ้อน
                - ระดับของภาษา 
                - การใช้คำทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ 
                - การวิเคราะห์และเปรียบเทียบสำนวนที่เป็นคำพังเพยและคำสุภาษิต

วิชาวิทยาศาสตร์


การนำความร้อน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหา
บทความนี้มีเนื้อหาที่สั้นมาก ต้องการเพิ่มเติมเนื้อหาหรือพิจารณารวมเข้ากับบทความอื่นแทน
การนำความร้อน (มักแทนด้วย kλ หรือ κ) เป็นการถ่ายโอนความร้อน (พลังงานภายใน) จากการชนของอนุภาคในระดับจุลทรรศน์ และการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนภายในวัตถุหนึ่ง ๆ อนุภาคที่มีการชนกันในระดับจุลทรรศน์นี้ ซึ่งรวมถึงโมเลกุล อะตอมและอิเล็กตรอน ถ่ายโอนพลังงานศักย์และจลน์ในระดับจุลทรรรศน์ที่ไม่เป็นระเบียบ ที่รวมกันเรียก พลังงานภายใน การนำเกิดขึ้นในทุกสถานะของสสาร ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว แก๊สและคลื่น อัตราที่มีการนำพลังงานในรูปความร้อนระหว่างวัตถุสองชนิดเกิดจากผลต่างของอุณหภูมิระหว่างวัตถุสองชนิดและคุณสมบัติของตัวกลางการนำซึ่งความร้อนนำผ่าน

การถ่ายเทความร้อน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไบยังการนำทางไปยังการค้นหา

การถ่ายเทความร้อนจะมี3รูปแบบดังที่เห็นในรูปซึ่งทั้ง3แบบจะมีความสัมพันธ์กัน
การถ่ายเทความร้อน (อังกฤษheat transfer) คือการถ่ายเทของพลังงานความร้อน

ประโยชน์[แก้]

การถ่ายเทความร้อน มีความสำคัญในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ไม่ว่าจะเป็น การใช้ความร้อนในการหุงต้มอาหาร กระบวนการแปรรูปที่เกี่ยวข้องกับความร้อนและความเย็นในโรงงานแปรรูปอาหาร เช่น กระบวนการแช่เย็น การแช่แข็ง การฆ่าเชื้อโดยใช้ความร้อนการอบแห้ง และการระเหย กระบวนการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนความร้อนระหว่างผลิตภัณฑ์และตัวกลางให้ความร้อน หรือความเย็นการถ่ายโอนความร้อนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิระหว่างตำแหน่งสองตำแหน่งในมีค่าแตกต่างกันโดยความร้อนจะถ่ายเทจากที่ที่มีอุณหภูมิสูงไปที่มีอุณหภูมิต่ำเสมอ ในตัวกลางหรือระหว่างตัวกลางการถ่ายโอนความร้อน[1]

ชนิด[แก้]

การถ่ายเทความร้อน สามารถจำแนก ได้ออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

การนำความร้อน[แก้]

การนำความร้อน (อังกฤษheat conduction) คือ ปรากฏการณ์ที่พลังงานความร้อนถ่ายเทภายในวัตถุหนึ่ง ๆ หรือระหว่างวัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกัน โดยมีทิศทางของการเคลื่อนที่ของพลังงานความร้อนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า โดยที่ตัวกลางไม่มีการเคลื่อนที่ การนำความร้อนเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นบนชั้นอะตอมของอนุภาค เป็นหนึ่งในกระบวนการถ่ายเทความร้อน ในโลหะ การนำความร้อนเป็นผลมาจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระ(คล้ายการนำไฟฟ้า)ในของเหลวและของแข็งที่มีสภาพการนำความร้อนต่ำเป็นผลมาจากการสั่นของโมเลกุลข้างเคียง ในก๊าซการนำความร้อนเกิดขึ้นผ่านการสั่นสะเทือนระหว่างโมเลกุลหรือกล่าวคือการนำความร้อนเป็นลักษณะการถ่ายเทความร้อนผ่าน โดยตรงจากวัตถุหนึ่งไปยังอีกวัตถุหนึ่งโดยการสัมผัสกัน เช่น การเอามือไปจับกาน้ำร้อน จะทำให้ความร้อนจากกาน้ำถ่ายเทไปยังมือ จึงทำให้รู้สึกร้อน เป็นต้น วัสดุใดจะนำความร้อนดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับสัมประสิทธิ์การนำความร้อน(k)

การพาความร้อน[แก้]

การพาความร้อน (อังกฤษheat convection) เป็นการถ่ายเทความร้อนที่เกิดขึ้นได้ ในสสารสองสถานะคือ ของเหลวและก๊าซ เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถเคลื่อนที่ได้โดยจะมีทิศทางลอยขึ้นเท่านั้น เนื่องจาก เมื่อสสารได้รับความร้อนจะมีการขยายตัว ทำให้ความหนาแน่นต่ำลง และสสารที่มีอุณหภูมิ ต่ำกว่า (ความหนาแน่นสูงกว่า) ก็จะลงมาแทนที่ ปรากฏการณนี้มีตัวอย่างคือ การเกิดลมบก ลมทะเล เป็นต้น การนำความร้อน[2]เป็นการถ่ายเทความร้อนโดยการเคลื่อนที่ของโมเลกุลผ่านของแข็งหรือผ่านของไหลที่อยู่กับที่ อันเป็นผลมาจากอุณหภูมิที่แตกต่างกัน การนำความร้อนต่อหน่วยพื้นที่ ต่อหน่วยเวลา

รูปนี้แสดงให้เห็นถึงการคำนวณการพาความร้อนที่ปกคลุมบนโลก สีใกล้เคียงกับสีแดงเป็นพื้นที่บริเวณร้อนและสีที่ใกล้เคียงกับสีฟ้าเป็นพื้นที่บริเวณที่เย็น

ประเภทของการพาความร้อน[3][แก้]

การพาความร้อนแบบธรรมชาติหรือแบบอิสระ(Natural or Free Convection)[แก้]
-การเคลื่อนที่ของความร้อนระหว่างผิวของของแข็งและของไหล โดยไม่มีกลไกใดๆทำให้ของไหลเคลื่อนที่แต่เกิดจากแรงลอยตัวของของไหลเอง
-แรงลอยตัวเกิดจากผลการเปลี่ยนแปลงความหนาแน่น ที่มีอุณหภูมิของของไหล แตกต่างกัน ใน 2 บริเวณ
การพาความร้อนแบบบังคับ(Forced Convection)[แก้]
การเคลื่อนที่ของความร้อนระหว่างผิวของของแข็งและของไหล โดยของ ไหลถูกบังคับให้เคลื่อนที่ไปสัมผัสกับผิวของของแข็งโดยกลไกภายนอก เช่น พัดลม เครื่องสูบ

3.การแผ่รังสีความร้อน(Radiation)[4][แก้]


ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงการแผ่รังสีความร้อนของดวงอาทิตย์มายังโลก[5]
การแผ่รังสีความร้อน (Radiation) เป็นการถ่ายเทความร้อนออกรอบตัวทุกทิศทุกทาง โดยมิต้องอาศัยตัวกลางในการส่งถ่ายพลังงาน ดังเช่น การนำความร้อน และการพาความร้อน การแผ่รังสีสามารถถ่ายเทความร้อนผ่านอวกาศได้ วัตถุทุกชนิดที่มีอุณหภูมิสูงกว่า -270 ํC หรือ 0 K (เคลวิน) ย่อมมีการแผ่รังสี วัตถุที่มีอุณหภูมิสูงแผ่รังสีคลื่นสั้น วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำแผ่รังสีคลื่นยาว เช่น การตากปลาแห้ง ตากเสื่อผ้ากลางแจ้ง ทั้งนี้การแผ่รังสี คือการถ่ายโอนความร้อนโดยไม่ต้องผ่านตัวกลางใดๆ เช่น ความร้อนที่เกิดจากดวงอาทิตย์ถือเป็นความร้อนที่เกิดจากการถ่ายโอนความร้อนโดยการแผ่รังสี โดยที่วัตถุแต่ละชนิดสามารถดูดกลืนความร้อนจากการแผ่รังสีได้ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
1. สีของวัตถุ วัตถุสีดำหรือสีเข้มดูดกลืนความร้อนได้ดีกว่าวัตถุสีขาวหรือสีอ่อน
2. ผิววัตถุ วัตถุผิวขรุขระดูดกลืนความร้อนได้ดีกว่าวัตถุผิวเรียบและขัดมัน

กลไกทางกายภาพ[6][แก้]

ประเภทของการแผ่รังสีของคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้ามีอยู่หลายประเภท แต่ในที่นี้จะพูดถึงการแผ่รังสีความร้อนเท่านั้น ซึ่งจะกล่าวได้ว่าผลที่เกิดจากแพร่ด้วยค่าความเร็วของแสง 3x10^8 m/s ความเร็วนี้เท่ากับผลที่ได้จากความยาวคลื่นและความถี่ของการแผ่รังสี
C = fλ 
C = ความเร็วแสง,λ = ความยาวคลื่น,f = ความถี่ หรืออาจเขียนแทนด้วย v
หน่วยของ λ อาจเป็น cm,angstrom หรือ μm หน่วยมาตรฐานคือ m

การถ่ายเทความร้อนในร่างกายมนุษย์[แก้]

หลักการของการถ่ายเทความร้อนในระบบวิศวกรรมสามารถนำไปใช้กับร่างกายมนุษย์เพื่อที่จะกำหนดวิธีการที่ร่างกายถ่ายโอนความร้อน ความร้อนที่เกิดขึ้นในร่างกายโดยการเผาผลาญอย่างต่อเนื่องของสารอาหารที่ให้พลังงานสำหรับระบบของร่างกาย ร่างกายมนุษย์จะต้องรักษาอุณหภูมิภายในที่สอดคล้องกันในการที่จะรักษาการทำงานของร่างกายให้มีสุขภาพดี ดังนั้นความร้อนส่วนเกินจะต้องกระจายออกจากร่างกายเพื่อให้อุณหภูมิภายในร่างกายมีความสมดุล เมื่อมีการออกกำลังกายจะทำให้อัตราการเผาผลาญและอัตราการผลิดความร้อนในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้น ร่างกายก็จะมีการถ่ายเทความร้อน ออกจากร่างกายเพื่อปรับสมดุลจึงทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี

วิชา:ดนตรี-นาฏศิลป์


ใบความรู้
เรื่องประเภทของวงดนตรีสากล

                วงดนตรีสากลในปัจจุบันมีการเรียกชื่อต่าง ๆ กันออกไปหลายลักษณะ ดังนี้ คือ
1. วงแชมเบอร์ (Chamber Music)
                เป็นวงดนตรีขนาดเล็ก ใช้บรรเลงในห้องโถงหรือสถานที่ไม่ใหญ่โตนัก มีนักดนตรีตั้งแต่  2 – 9 คน มีชื่อเรียกตามจำนวนนักดนตรี ดังนี้ คือ
นักดนตรี   2    คน    เรียกว่า    ดูเอ็ด (Duet)              นักดนตรี  3   คน    เรียกว่า   ทรีโอ (Trio)
นักดนตรี   4    คน    เรียกว่า    ควอเต็ด (Quartet)     นักดนตรี  5   คน    เรียกว่า   ควินเต็ด (Quintet)
นักดนตรี   6    คน    เรียกว่า    เซกเต็ด (Sextet)        นักดนตรี  7   คน    เรียกว่า   เซพเต็ด (Setet)
นักดนตรี   8    คน    เรียกว่า    ออคเต็ด (Octet)         นักดนตรี  9   คน    เรียกว่า   โนเน็ด (Nonet)
2. วงออร์เคสตร้า (Orchestra)
                เป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ที่มีนักดนตรีมากที่สุด และมี วาทยกร หรือ ผู้อำนวยเพลง  (Conductor) 
เป็นผู้ควบคุมวงดนตรีเพื่อกำกับจังหวะ ลีลา และความดังเบาของบทเพลง แบ่งออกเป็น ลักษณะคือ
                2.1 วงแชมเบอร์ออร์เคสตร้า เป็นวงดนตรีที่ใช้เฉพาะเครื่องดนตรีตระกูลไวโอล์เท่านั้น มีผู้บรรเลง
จำนวน  20 – 30 คน
                2.2 วงซิมโฟนีออร์เคสตร้า เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีครบทั้ง  5  ประเภท คือ เครื่องสาย  เครื่อง
ลมไม้  เครื่องทองเหลือง  เครื่องคีย์บอร์ด และเครื่องกระทบ แบ่งขนาดของวงเป็น  3  ขนาดคือ
                                2.2.1 ขนาดเล็ก    มีผู้บรรเลง  40 – 60 คน
                                2.2.2 ขนาดกลาง มีผู้บรรเลง  60 – 80 คน
                                2.2.1 ขนาดใหญ่ มีผู้บรรเลงตั้งแต่  80 คน ขึ้นไป
3. วงแบนด์ (Band)
                เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องลมไม้และเครื่องลมทองเหลืองเป็นหลักในการบรรเลง
มีเครื่องประกอบจังหวะเป็นส่วนประกอบ แบ่งออกได้ดังนี้ คือ
                3.1 วงซิมโฟนิคแบนด์ เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีเครื่องเป่าเป็นหลัก และมีดับเบิ้ลเบสมาบรรเลงประกอบ มักบรรเลงในร่ม ในห้องประชุม บทเพลงที่บรรเลงเป็นบทเพลงที่เขียนขึ้นเฉพาะ
                3.2 วงมาร์ชชิ่งแบนด์ เป็นวงดนตรีที่มีอยู่ตามหน่วยงานสถานศึกษา เหมาะสำหรับบรรเลงกลางแจ้ง
แบ่งออกเป็น 2  ประเภทคือ
                                3.2.1 วงแตรวง เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องเป่าทองเหลืองเป็นหลักและมีเครื่องกำกับจังหวะประกอบ
                                3.2.2 วงโยธวาทิต วง เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องลมไม้และเครื่องทองเหลืองเป็นหลักและมีเครื่องกำกับจังหวะประกอบ แต่เดิมเป็นวงดนตรีที่ใช้ในการกิจการของทหาร ต่อมาได้แพร่หลายไปสู่สถานศึกษา เป็นวงดนตรีที่ใช้ในการเดินสวนสนามใช้บรรเลงกลางแจ้งประกอบการเดินสวนสนาม
2                3.3 วงบิกแบนด์ (Big Band) เป็นวงดนตรีแจ๊สประเภทหนึ่งเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา
จุดมุ่งหมายในการบรรเลงคือ เพื่อประกอบการเต้นรำและฟังเพื่อความไพเราะ ประกอบด้วยเครื่องดนตรี 3
กลุ่มคือ เครื่องลมไม้  เครื่องลมทองเหลืองและเครื่องกำกับจังหวะ
                3.4 วงคอมโบ (Conbo) เป็นวงดนตรีขนาดเล็ก ใช้บรรเลงประกอบการขับร้อง บรรเลงเพื่อฟัง บรรเลงประกอบการเต้นรำและประกอบการแสดงต่าง ๆ
4. วงชาโดว์ (Shadow)
                เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ เป็นวงดนตรีขนาดเล็ก มีเครื่องดนตรีอยู่  3  ชิ้นคือ
กีตาร์  เบส  และกลองชุด ผู้ขับร้องก็เป็นนักดนตรี
5. วงสตริงคอมโบ (String Combo)
                เป็นวงดนตรีที่พัฒนามาจากวงชาโดว์ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีคือ กีตาร์คอร์ด  กีตาร์ลีด เบส
คีย์บอร์ด กลองชุด บางวงอาจเพิ่มเครื่องเป่าเช่น ทรัมเป็ต  แซกโซโฟน ทรอมโบนเข้าไปด้วย
6. วงโฟล์คซอง (Folksong)
                ความหมายที่แท้จริงของ โฟล์คซอง คือ เพลงพื้นบ้าน เป็นเพลงของชาวบ้านที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง  สนุกสนาน  เครื่องดนตรีที่ใช้ก็เป็นเครื่องดนตรีที่อยู่ในท้องถิ่น ไม่มีแบบแผนการบรรเลงที่แน่นอน
                สำหรับประเทศไทย  มีผู้เอาคำว่า โฟล์คซอง  มาใช้ในความหมายว่า การขับร้องเพลงยอดนิยมทั่วไป โดยมีเครื่องดนตรีกีตาร์โปร่งมาบรรเลงประกอบ และมีเครื่องดนตรีมาประสมคือ ขลุ่ย เม้าท์ออร์แกน
และเครื่องประกอบจังหวะต่าง ๆ
7. วงแตรวงชาวบ้าน
                เป็นวงดนตรีที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแถบชนบท  มีรูปบแบบที่ไม่แน่นอนเครื่องดนตรีหลักคือเครื่องดนตรีเครื่องเป่าชนิดต่าง ๆ เท่าที่จะหาได้ และเครื่องตีประกอบจังหวะ เพลงที่บรรเลงมีทั้งเพลงไทย  เพลงลูกทุ่ง และเพลงอื่น ๆ มีลีลาจังหวะที่สนุกสนาน   ใช้บรรเลงประกอบงานพิธีต่าง ๆ เ ช่น งานแห่ต่าง ๆ   เป็นต้น

*************************

บล็อกของเพื่อน

vrit-blog.blogspot.com                                   chananya-blog.blogspot.com